เที่ยวไหนดี? ... ไหว้พระ ภูเก็ต วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง)

เที่ยวไหนดี? ... ไหว้พระ ภูเก็ต วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) 😀


วัดฉลอง  เป็นวัดที่เก่าแก่ ในจังหวัดภูเก็ต ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด บ้างว่ามีแต่เก่าก่อนมา ไม่สามารถสืบค้นถึงครั้นแรกเริ่ม มีเพียงหลักฐานที่สืบค้นได้ว่า "พ่อท่านเฒ่า" เป็นเจ้าอาวาสก่อน หลวงพ่อแช่ม    บ้างสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชสมัย รัชกาลที่ ๒  คราวที่พม่ายกทัพมาตีเมืองถลาง   ราษฏรได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บริเวณนี้  แล้วปลอดภัยจากการศึก อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข   จึงได้สร้างวัดขึ้นมา แล้วอาราธนา "พ่อท่านเฒ่า" มาเป็นเจ้าอาวาส

ถนนทางเข้าวัดไชยธาราราม
หลวงพ่อแช่ม เกิดที่ทับปุด จ.พังงา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓)   พ่อแม่ ส่งท่านให้มาอยู่ที่วัดฉลอง ตั้งแต่เยาว์วัย มาเป็นศิษย์ของ "พ่อท่านเฒ่า" ครั้น อายุถึงเกณฑ์บวช ท่านก็เข้าสู่ร่มร่มกาสาวพัสตร์ บวชเรียนเป็นเณร และพระภิกษุ ตามลำดับ จำพรรษาที่วัดฉลองเรื่อยมา

ท่านศึกษาเล่าเรียนทางวิปัสนาธุระจากพ่อท่านเฒ่า จนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสนาธุระ เป็นอย่างสูง และมีชื่อเสียงทางด้านวิชาอาคม  โดยในปี พ.ศ. ๒๔๑๙  ภาวะเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตกต่ำ ทำให้นายเหมือง ไม่มีเงินพอจ่ายให้กับกรรมกรชาวจีน ในช่วงวันตรุษจีน  ทำให้เกิดการจลาจลหลายจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งเริ่มต้นที่ จังหวัดระนอง  ทางราชการได้ทำการปราบปราม จนมีกรรมกรบางกลุ่มหนีมาอยู่ที่ ภูเก็ต และรวมตัวกับชาวจีนบางกลุ่มที่ภูเก็ต ที่ไม่พอใจเรื่องการเก็บภาษี ของพระยาวิชิต (ทัด) ในขณะนั้น  ทำการก่อกบฎ  เที่ยวออกปล้นสะดม

การปล้นมีเรื่อยมา จนเกิดข่าวคราวว่า กรรมกรจีนจะมาปล้นที่บ้านฉลอง  ชาวบ้านจึงพากันหนีขึ้นไปซ่อนตัวที่ภูเขา  ชาวบ้านสองสามคน ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อแช่ม มาชวนให้ท่านหนีไปด้วยกัน ท่านจึงตอบกลับไปว่า

วิหาร อนุสาวรีย์ที่ประดิษฐานรูปหล่อ
หลวงพ่อแช่ม, หลวงพ่อช่วง และ หลวงพ่อเกลื้อม 
"ข้าอยู่ในวัดนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนอายุถึงปานนี้แล้ว ทั้งเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ด้วย จะทิ้งวัดไปเสียอย่างไรได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปละ จะต้องตายก็จะตายอยู่ในวัดอย่าเป็นห่วงข้าเลย"

ลูกศิษย์พยายามอ้อนวอนเท่าใด ก็ไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจว่า เมื่อท่านไม่ยอมไปก็จะอยู่กับท่าน จึงพูดกับหลวงพ่อแช่ม ว่า "ถ้าขรัวพ่อไม่ไป พวกผมก็จะอยู่เป็นเพื่อน แต่ขออะไรพอคุ้มตัวสักอย่างหนึ่ง"  ท่านจึงเอาผ้าขาว มาลงยันต์เป็นผ้าประเจียดแจกให้คนละผืน

จากนั้น กลุ่มลูกศิษย์กลุ่มนี้ ก็ได้ชักชวนเพื่อนมารวมตัวกันได้สัก ๑๐ คน แล้วนิมนต์ท่านให้ไปอยู่ที่โบสถ์ เพื่อความปลอดภัย จากนั้น จึงเตรียมอาวุธต่างๆ ให้พร้อม แล้วมาพักอยู่ที่วัดฉลอง ผ่านมาสองวัน จีนกลุ่มหนึ่งก็ออกปล้นสะดม มาที่บ้านฉลอง  แต่พวกจีนก็ทราบข่าวอยู่ว่าชาวบ้านหนีไปกันมากแล้ว จึงเดินด้วยความประมาท กลุ่มคนไทยที่วัดฉลองได้แอบ โดยเอากำแพงแก้วรอบโบสถ์บังตัว เมื่อกลุ่มจีนชุดนี้ เดินทางมาถึงก็ยิงเอา จนหนีกระเจิงไปโดยง่าย

กุฎิจำลอง หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง

เมื่อข่าวว่า "กลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดฉลองรบชนะจีน" แพร่กระจายไป  ชาวบ้านฉลองที่เคยหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามภูเขา ก็พากันกลับมาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายก็ไปหาท่านพระครูวัดฉลอง ขอรับอาสาว่า ถ้าพวกจีนยกมาอีกจะช่วยรบ แต่ท่านตอบว่า

"ข้าเป็นพระเป็นสงฆ์ จะรบฆ่าฟันใครไม่ได้สูจะรบพุ่งอย่างไรก็ไปคิดอ่านกันเองเถิด ข้าจะให้แต่เครื่องคุณพระสำหรับป้องกันตัว"

จากกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ขยายเป็นกลุ่มใหญ่ร่วมกว่าร้อยคน หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ก็ทำผ้าประเจียด แจกให้ทุกคน ชายชาวบ้านในกลุ่มเอาผ้าประเจียดโพกหัวเป็นเครื่องหมาย พวกจีนกบฎ จึงเรียกกลุ่มคนไทยที่วัดฉลองนี้ ว่า “อ้ายพวกหัวขาว”  เมื่อรวมกลุ่มแล้ว ก็มีการตั้งเป็นหมวดหมู่มีหัวหน้า  แล้วเลือกที่มั่น โดยรอบ  โดยมีวัดฉลองเป็นที่บัญชาการรบ

หลวงพ่อแช่ม (กุฎิจำลอง)
ต่อมา กลุ่มจีนกบฎ ก็ยกกันมาเป็นขบวนรบ มีทั้งธงนำและกลองสัญญาณ ยกมามากกว่าครั้งก่อน เดินทางมาถึงบ้านฉลองในรุ่งเช้า  กลุ่มคนไทยต่อสู้อยู่ในที่มั่นเอาปืนยิงกราดไว้  พวกจีนเข้าไปในหมู่บ้านฉลองไม่ได้ ก็หยุดอยู่ภายนอก ต่างฝ่ายต่างยิงโต้ตอบกัน จนถึงเวลาเที่ยง พวกจีนหยุดรบไปกินข้าวต้ม ทำให้ชะล่าใจ   กลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อแช่ม จึงเข้ารุมล้อมไล่ยิงในขณะที่ กำลังกินอาหาร  ไม่นานนักชาวจีนกบฎก็ล้มตาย ต่างหนีกระจัดกระจายไปหมด  นับแต่นั้นมาพวกจีนก็ไม่กล้าไปปล้นบ้านฉลองอีก แต่หัวหน้าจีน ได้ประกาศ ตั้งค่าหัวของหลวงพ่อแช่ม ในมูลค่าสูง

เมื่อทางราชการปราบพวกจีนกบฏแล้ว มีการยกเอาความชอบของเจ้าอธิการแช่มวัดฉลองที่ได้เป็นหัวหน้า ในการต่อสู้พวกจีนกบฏในครั้งนี้

รูปถ่ายหลวงพ่อ ในสมัยก่อน (ภาพตั้งไว้ในกุฎีจำลอง)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงแต่งตั้ง หลวงพ่อแช่ม ให้เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ตั้งแต่นั้นมา  และทรงพระราชทานนาม วัดฉลอง เป็น วัดไชยาธาราราม   ส่วนชาวเมืองภูเก็ต ต่างเชื่อกันว่า ที่ชาวบ้านฉลองรบชนะพวกจีนกบฎ  เพราะท่านพระครูวัดฉลองมีอิทธิฤทธิ์ ในทางวิทยาอาคม จึงพากันนับถืออย่างผู้วิเศษทั่วทั้งจังหวัด 

จากคำบอกเล่า เกี่ยวกับ ครั้งนั้น ว่า มีพระสนมองค์หนึ่งในรัชกาลที่ ๕ ป่วยเป็นอัมพาต หลวงพ่อแช่มได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้ไปรดตัวรักษา ปรากฏว่าอาการป่วยหายลงโดยเร็วสามารถลุกนั่งได้

โบสถ์ วัดฉลอง
หลังจากที่ชาวบ้าน ต่างนับถือ หลวงพ่อแช่มอย่างศรัทธา มีเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อกลุ่มชาวประมงออกเรือเจอพายุกลางทะเล ต่างฝ่ายต่างบนบานศาลกล่าว ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่นับถือ พายุก็ไม่สงบ ครั้นคิดว่าต้องเสียชีวิตแน่ๆ มีคนหนึ่ง พูดขึ้นมาว่า ถ้ารอดตายครั้งนี้ จะปิดทองที่ ขรัวพ่อวัดฉลอง  พายุก็สงบลง  เมื่อมาถึงฝั่ง พวกชาวประมง ก็มาขออนุญาตปิดทองหลวงพ่อแช่ม ท่านกล่าวว่า

"ข้าไม่ใช่พระพุทธรูปจะทำนอกรีตมาปิดทองคนเป็น ๆ อย่างนี้ข้าไม่ยอม"   แต่ชาวประมงก็โต้กลับว่า  "ก็ผมบนไว้อย่างนั้น ถ้าขรัวพ่อไม่ยอมให้ผมปิดทองแก้สินบน ฉวยแรงสินบนทำให้ผมเจ็บล้มตายขรัวพ่อจะว่าอย่างไร"

เนื่องด้วย ตัวหลวงพ่อแช่ม ก็เชื่อเรื่องแรงสินบน อยู่บ้าง เกรงว่าถ้าเกิดเหตุร้ายแก่ผู้บนบาน เพราะไม่ได้แก้แล้ว   บาปจะตกอยู่แก่ตัว ท่านก็ต้องยอม จึงเอาน้ำมาลูบขา แล้วยื่นออกไปให้ปิดทองคำเปลวที่หน้าแข้ง แต่ให้ปิดเพียงแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งพอเป็นกิริยาบุญ พอคนบนบาน กลับไปแล้ว ก็ล้างออกเสีย

เสียงเล่าลือ ว่า มีชาวเรือรอดตายด้วยการบนปิดทองที่ ท่านพระครูวัดฉลอง   ก็เริ่มมีผู้อื่นเอาอย่าง เช่น ในเวลาเจ็บไข้ หรือเกิดเหตุการณ์ กลัวว่าจะเป็นอันตรายก็บนบาน ว่าขอให้หายไข้ ไม่เป็นอันตรายแล้วจะปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว  ท่านพระครูวัดฉลอง ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขืนอย่างไร จึงจำต้องยอมให้ปิดทอง หลังจากนั้น จึงเกิดประเพณีปิดทอง ท่านพระครูวัดฉลองขึ้น  ครั้งใดที่ หลวงพ่อแช่มเข้าเมือง ถ้ามีชาวบ้านใดที่บนปิดทอง และต้องการแก้บน ก็จะร้องนิมนต์หลวงพ่อ  หลวงพ่อท่านก็ต้องหยุดให้ปิดทองที่หน้าแข้ง

โบสถ์ วัดฉลอง
คราหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในภูเก็ต ชอบพูดเล่นออกทางสัปดน เกิดเจ็บป่วย จึงเอ่ยปากว่า ถ้าตนเองหายป่วย จะปิดทองบริเวณที่ลับของหลวงพ่อแช่ม  เมื่อหายไข้ เด็กหญิงก็ถือว่าพูดเล่น ครั้นกลับมาป่วยไข้ อีก รักษาอย่างไร ก็ไม่หาย พ่อแม่จึงไต่ถามว่า ได้บนบานอะไรหรือเปล่า?  เด็กหญิงทนเจ็บไข้ไม่ไหว จึงเล่าให้ฟัง  เมื่อ พ่อแม่ ทราบเรื่อง ก็มาปรึกษากับ หลวงพ่อแช่ม

ท่านพระครูวัดฉลอง ก็บอกว่า บนลามกอย่างนี้ ใครจะยอม  ส่วน ตัวพ่อแม่ เด็กเองก็เกรงว่าลูกจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จึงรบเร้าหลวงพ่อ   ท่านจึงออกอุบาย เอาไม้เท้าสอดไว้ใต้ที่นั่ง แล้วให้เด็กคนนั้น มาปิดทองที่ปลายไม้เท้า  พอแก้บนแล้ว ก็หายจากการเจ็บไข้

ในพระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เกี่ยวกับหลวงพ่อแช่ม ได้กล่าวไว้ว่า "การที่คนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง เป็นที่แรกที่เกิดประเพณีปิดทองคนเป็น ๆ เหมือนเช่นพระพุทธรูปหรือเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์"  และ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเคยเห็น ที่หน้าแข้งของหลวงพ่อแช่ม มีแผ่นทองปิดอยู่ จึงมีการไต่ถามถึงที่มา ว่าเหตุใด คนจึงศรัทธาอย่างนั้น มีความตอนหนึ่งที่หลวงพ่อแช่มกล่าวเกี่ยวกับการปิดทองว่า "ที่ถูกปิดทองนั้นอยู่ค่อนข้างรำคาญ ด้วยคันผิวหนังตรงที่ทองปิด จนล้างออกเสียแล้วจึงหาย แต่ก็ไม่กล้าขัดขวางคนขอปิดทอง"

หลวงพ่อช่วง (กุฎิจำลอง)
ไม่เพียงแต่ชาวไทยในภูเก็ตที่มีความศรัทธาในตัวท่าน ชาวจังหวัดปีนัง (มาเลเซีย) ขณะนั้น อยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ก็ยังมีความเคารพเลื่อมใสท่าน ยกย่องท่านเสมือนเป็นสังฆปาโมกข์ของจังหวัดปีนัง ถ้ามีการบวชนาค, การสร้างโบสถ์ใหม่ รวมถึงการชำระอธิกรณ์ ก็จะนิมนต์ท่านทุกครั้งไป

หลวงพ่อเกลื้อม (กุฎิจำลอง)
นอกจากความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อหลวงพ่อแช่ม ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ แล้ว  ท่านยังเป็นพระที่มีชื่อเสียงการปรุงสมุนไพร และรักษาโรค เข้าเฝือกผู้ป่วยกระดูกหัก อีกด้วย   หลวงพ่อแช่มมรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๘  เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑   ประชาชนก็ยังคงศรัทธาต่อหลวงพ่อเรื่อยมา ขณะนั้น มีเพียงรูปถ่ายท่าน ชาวบ้านก็ยังปิดทองที่รูปถ่าย จนเว้นไว้ในบริเวณที่เป็นใบหน้าของหลวงพ่อแช่ม   ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้มีการสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มและหลวงพ่อช่วง มาประดิษฐานที่วัดฉลอง โดยพระวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี  “เพรา  พุทธสโร” เจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต ได้มีการทำเหรียญที่ระลึกหลวงพ่อแช่ม ไว้แจกจ่าย เพื่อเป็นการหาทุนในการสร้าง ครั้งนั้น

พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ

พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ


ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระครูครุกิจจานุการ (พ่อท่านเกลื้อม) เจ้าอาวาสวัดฉลองในขณะนั้นได้ปรารภกับพุทธบริษัทชาวบ้านฉลองและชาวภูเก็ตทั่วไป ว่า ในแถบฝั่งทะเลอันดามัน (ด้านตะวันตก) ของประเทศไทย  ยังไม่มีพระบรมธาตุ ที่จะให้พุทธศาสนิกชนได้รำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรดาพุทธศาสนิกชนต่างก็มีความเห็นพ้องตามคำปรารภของหลวงพ่อเกลื้อม จึงเริ่มการรวบรวมทุนทรัพย์ ก็ยังไม่เพียงพอ หลังจากพ่อท่านเกลื้อม มรณภาพ ก็มี พระศรัปริยัติสุธี (เฟื่อง สจฺจานนโท) ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลอง ในลำดับต่อมา จนมรณภาพ และ ต่อมา พระครูอุดมเวชกิจ (หลิม อุตตมฺญาโณ) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส  ท่านได้เรียกประชุม คณะกรรมการวัด ชาวบ้าน และผู้มีจิตศรัทธา ถึงความคิดและแนวทางในการสร้างพระธาตุให้สำเร็จ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐

ในวันศุกร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑ เวลา ๐๙.๓๙ น. มีพิธีวางศิลาฤกษ์ขึ้นในบริเวณลานวัดทางทิศตะวันออก ตรงตำแหน่งที่กำหนดให้เป็นสถานทีสำหรับก่อสร้างพระธาตุวัดฉลอง ขนาดพระธาตุวัดฉลองที่ก่อสร้างนี้มี ความกว้าง ๑๙ เมตร ความสูง ๖๑ เมตร ๓๙ เซนติเมตร มีฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีซุ้มรอบ ยอดสุดมีฉัตรทองคำ ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ๖๖ ล้านบาท

พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ
เนื่องในวโรกาส อันเป็นมหามงคลสมัย ที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระชนมายุ ๗๒ พรรษา พระปิยตัทสสีนนายกเถระ ซึ่งเป็นพระเถระของประเทศศรีลังกา ได้มีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมมหาสังฆปรินายก ให้เสด็จเยือนประเทศศรีลังกา เพื่อรับการถวายพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสครบรอบ ๗๒ พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในครั้งนั้น
พระบรมสารีริกธาตุ
พระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ครั้งนั้น ส่วนหนึ่งได้มาบรรจุที่แห่งนี้ และ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมมหาสังฆปรินายก ได้ประทานนามพระธาตุวัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) ว่า "พระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทยบารมีประกาศ"



วิหารหลวงพ่อเจ้าวัด

หลวงพ่อเจ้าวัด หรือที่ชาวบ้านฉลอง เรียกกันว่า "พ่อท่านนอกวัด"  ไม่ทราบประวัติว่าสร้างขึ้นแต่เมื่อใด มีการพบ  ในช่วงเวลาที่ หลวงพ่อแช่ม อุปสมบทได้ ๓ พรรษา  ราว เดือนสิบ พ.ศ. ๒๓๙๓  โดยมี เด็กผู้ชายบ้านหนึ่ง พาควายไปกินหญ้า ครั้นเห็นตอไม้ ก็ผูกเชือกจูงกับหลักตอ ปล่อยให้ควายเล็มหญ้าในบริเวณนั้น ส่วนตัวเด็กก็กลับมาที่บ้าน แล้วล้มตัวนอน เที่ยงวัน พ่อเด็กก็บอกให้เด็กไปนำควายกลับ  เด็กคนนั้น ลุกจากที่นอนไม่ไหว เนื่องด้วยรู้สึกหนักคออยู่มาก ผู้เป็นบิดาจึงต้องเป็นผู้ไปนำควายกลับ  เมื่อไปถึงบริเวณที่ผูกเชือกจูงกับตอไม้ นั้น  บิดาสังเกตุเห็นว่า ควายมีลักษณะซึมไม่ขยับตัว  ครั้นแก้เชือกจูงกับตอไม้แล้ว ควายก็ขยับตัวเหมือนปกติ ส่วนเด็กที่บ้าน ก็รีบตามมาหาบิดาที่ผูกเชือกจูงนั้น
วิหารหลวงพ่อเจ้าวัด
ตกค่ำ บิดาของเด็ก นำเรื่องดังกล่าว มาเล่าให้หลวงพ่อแช่มฟัง รุ่งสาง พระและชาวบ้าน ต่างพากันไปดูตอไม้นั้น ก็พิจารณาแล้วว่าเป็นพระพุทธรูป จึงปลูกโรง เพือบังแดด ฝนให้องค์พระ และล้อมรั้วโดยรอบ  ภายหลังมีการสร้างโรงเรือนถาวรขึ้น  ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘  เดือนสิบสอง ฝนตกนาน ๓วัน ๓ คืน น้ำท่วมต้นข้าว รอบบริเวณ แต่ภายในโบสถ์พ่อเจ้าวัด น้ำไม่มีเข้าไป

หลวงพ่อเจ้าวัด
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เดือนเมษยน ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ครั้นยังดำรงตำแหน่งพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาวัดฉลอง มีเรื่องเล่าว่า ทรงถ่ายรูปพ่อเจ้าวัด อยู่นาน ถ่ายอย่างไรก็ไม่ติด


พระพุทธรูป อยู่หลังวิหารอนุสาวรีย์หลวงพ่อแช่ม
ซึ่งสามารถถวายสังฆทานได้ที่ศาลานี้


พิกัด GPS วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง)  :  7.846559, 98.337643

แผนที่ วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง)    :


สำหรับการเดินทางมาวัดไชยธาราราม (วัดฉลอง)  ถ้าเริ่มจากสะพานท้าวเทพกระษัตรี (ข้างสะพานสารสิน)  (สะพานข้ามทะเลเข้าสู่อำเภอภูเก็ต) ใช้ถนนเทพกระษัตรี (ทางหลวงหมายเลข ๔๐๒) มาประมาณ ๓๔.๕ กิโลเมตร ถึงสามแยก บางคู เลี้ยวขวาเข้าถนนเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ ๙  ตามเรื่อยมาจะเข้าสู่ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ระยะทางรวม ประมาณ ๑๔.๔ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้าย จะเห็นประตูวัดไชยธาราราม เข้ามาประมาณ ๔๐๐ เมตร ก็เข้าถึงพื้นที่วัดไชยธาราราม แล้วครับ

ถ้ามาที่วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) แล้ว ยังมีวัดใกล้ๆ อีกแห่ง น่าไป คือ วัดสีลสุภาราม(วัดหลวงปู่สุภา)  ครับ

ขอบคุณ  ครับ  😄




สำหรับท่านที่ สนใจจะจองที่พักใน จังหวัดภูเก็ต สามารถกดดูรายละเอียดที่  ลิงค์นี้  หรือ  ลิงค์นี้  ก็ได้
 หรือ  ลิงค์นี้  ก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น