เที่ยวไหนดี? ... พิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร 😀
ออกจาก
เมืองน่าน ขับรถลงมาเรื่อยๆ เพื่อไปยัง
เพชรบูรณ์ เขาค้อ ต่อ แวะพัก สักการะพระคู่บ้านคู่เมือง พิษณูโลก ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร และ วัดนางพญา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ด้านทิศตะวันออก หากมาตอนเช้าๆ ที่แดดยังไม่แรง ก็สามารถมานั่งพักที่ริมน้ำได้ ซึ่งมีการสร้างเป็นลักษณะขั้นบันได ลงไปแม่น้ำ
ช่วงสายๆ มาถึง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดใหญ่" เป็นวัดเก่าแก่ ที่สันนิษฐานว่า สร้างก่อนกรุงสุโขทัย (หลักฐานจากหลักศิลาจารึก) หรือ สร้างในรัชสมัยของ พระมหาธรรมราชาลิไท (พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก - จากพงศาวดารเหนือ) ในยุคสมัยอาณาจักรสุโขทัย
พระพุทธชินราช
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ได้มีโปรดให้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ ในราว พ.ศ. ๑๙๐๐ ตำนานที่เล่าขานต่อๆ กันมาเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธชินราช คือ ในการสร้างครั้งนั้นใช้ช่างหล่อพระซึ่งเป็นพราหมณ์ ๕ นาย คือ บาอินท์, บาพรหม, บาพิษณู, บาราชสังข์ และบาราชกุศล โดยเป็นช่างสวรรคโลก, ช่างเชียงแสน, ช่างหริกุญไชย กับช่างกรุงศรีสัชนาลัย เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ จึงทำพิธีเททองหล่อทั้ง ๓ องค์ คือ พระพุทธชินราช, พระพุทธชินสีห์, พระศรีศาสดา เมื่อถึงเวลาแกะพิมพ์ออก พบว่า องค์พระพุทธชินสีห์ และ พระศรีศาสดา เป็นองค์พระสมบูรณ์สวยงาม สำหรับองค์พระพุทธชินราชพบว่า ทองสำริดไม่เต็มองค์ จึงทำการหล่อใหม่ ครบ ๓ ครั้ง ก็ยังเป็นแบบเดิม ครั้น พญาลิไท ทราบก็ตั้งสัตยาธิษฐาน ให้การหล่อองค์พระนี้สำเร็จ ต่อมา มีตาปะขาว ท่านหนึ่ง มาช่วยการหล่อพระ เมื่อถึงคราวแกะพิมพ์ออก ก็พบว่า องค์พระพุทธชินราชสมบูรณ์ ทองสำริดแล่นเสมอทั่วทั้งองค์ เหล่าช่างได้ตามหา ตาปะขาว ผู้นั้น ก็ไม่พบแต่ประการใด จึงเชื่อกันว่า ตาปะขาวผู้นั้น เป็นพระอินทร์แปลงกายลงมา
หลังจากการหล่อพระ ครบทั้ง ๓ องค์ พบว่า ยังคงมีทองสำริด เหลืออยู่ จึงมีพระราชดำริให้หล่อ "พระเหลือ" และหลังจากนั้น ก็ยังมีทองสำริดเหลืออีก จึงหล่อพระสาวก อีก ๒ องค์
|
พระพุทธชินราช |
พระพุทธชินราช ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุด และนิยมนำไปสร้างองค์จำลองกันมากที่สุด
|
จิตรกรรมฝาผนัง ภายในวิหารพระพุทธชินราช |
พระพุทธชินราช หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียก "หลวงพ่อใหญ่" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย สร้างจากทองสำริด (ทองแดงผสมกับธาตุอื่นๆ) หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก แต่เดิมมิได้มีการลงรักปิดทอง มีการลงรักปิดทองครั้งแรก ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมายังเมืองพิษณุโลกและพระราชดำเนินมานมัสการพระพุทธชินราช ในปี พ.ศ. ๒๑๔๖ และมีพระบรมราชานุญาต ให้มีการนำเครื่องราชชูปโภคมาตีแผ่เป็นทองคำเปลวสำหรับปิดทองพระพุทธชินราช
|
จิตรกรรมฝาผนัง |
ครั้นเวลาล่วงเลย มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) มีการหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
ครั้งที่ ๓ ในปีพ.ศ. ๒๕๔๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙)
สำหรับซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธชินราช ทำจากไม้แกะสลัก สันนิษฐานว่ามาทำภายหลังในยุคกรุงศรีอยุธยา แกะเป็นรูปมกร (ลำตัวเหมือนมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ปลายซุ้ม และมีตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม เบื้องซ้ายและขวาของซุ้มเรือนแก้วมีเทพอสุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวรรณ และ อารวกยักษ์ และมีพระโมคคัลานะและพระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวก
|
ด้านบนวิหารพระพุทธชินราช |
พระพุทธชินราช ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ ในวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙
พระพุทธชินสีห์
|
พระพุทธชินสีห์
|
ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระพุทธชินสีห์ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระปรางค์ (อยู่ด้านหลังทางซ้ายมือของวิหารพระพุทธชินราช) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หล่อด้วยทองสำริด เป็นองค์จำลองที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๔ สำหรับองค์จริงนั้น ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. ๒๓๗๒ โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในปี พุทธศักราช ๒๓๘๐ พระพุทธชินสีห์องค์จริง ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานหน้าพระพุทธสุวรรณเขต ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
|
พระพุทธชินสีห์ |
พระศรีศาสดา
ผลจากสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๘ ครั้นแม่ทัพพม่าอะแซหวุ่นกี้พร้อมไพร่พล ยกมาตีเมืองพิษณุโลก ได้เผาทำลายพระราชวังจันทน์กับพระวิหารประธานด้านตะวันออกที่ประดิษฐานพระอัฏฐารส ภายหลังจากนั้น ก็มิได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ใดๆ เวลาล่วงเลย เข้าสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ครานั้น เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี เห็นว่าวิหารที่ประดิษฐานพระศรีศาสดานั้น ชำรุดทรุดโทรมเป็นอันมาก และไม่มีผู้ใดดูแล จึงอัญเชิญพระศรีศาสดา มาที่วัด หลังจากนั้น ได้ถูกอัญเชิญจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี, วัดสุทัศน์ และมาประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร ในปีพุทธศักราช ๒๔๐๗ องค์ที่อยู่ที่วัดเป็นองค์จำลอง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
|
พระศรีศาสดา |
พระปรางค์
|
พระปรางค์ และองค์พระอัฏฐารส |
องค์พระปรางค์ตั้งอยู่กลางวัด เป็นพระปรางค์ประธาน สันนิษฐานว่า แรกเริ่มเดิมสร้างเป็นพระสถูปเจดีย์ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถม ครั้นต่อมา ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ได้สร้างครอบโดยทำตามคตินิยมในยุคสมัยนั้นที่ว่าให้พระปรางค์เป็นหลักเป็นประธานของวัด และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ สันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม
|
พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อเดินขึ้นไปบนยอดพระปรางค์ (ไม่เหนือยจนเกินไป 😊) |
เวลาล่วงเลย เข้าสู่ยุคสมัยของกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ได้มีพระบรมราชานุญาตให้บูรณะพระปรางค์โดยดัดแปลงพระเจดีย์ ให้เป็นรูปแบบพระปรางค์แบบขอม ตามพระราชนิยมในสมัยนั้น
|
ที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ |
รอบองค์พระปรางค์มีระเบียงคตอยู่ ๔ ทิศ ภายในระเบียงคต มีพระพุทธรูปประดิษฐานเรียงรายอยู่
|
เขตระเบียงคต มีพระพุทธรูปประดิษฐานโดยรอบ |
พระเหลือ
เมื่อ หล่อพระทั้ง ๓ องค์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา มีทองสำริด เหลืออยู่ปริมาณหนึ่ง พระยาลิไททรงรับสั่งให้ช่างนำเศษทองเหล่านั้นมาหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดเล็ก หน้าตัก กว้าง ๑ ศอกเศษ เรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระเหลือ"
หลังจากหล่อพระเหลือ แล้วยังคงมีทองสำริด อีกปริมาณหนึ่งจึงได้หล่อพระสาวกยืน ๒ องค์ ครั้นต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานตั้งชื่อให้ ว่า "พระเสสันตปฎิมากร" แต่ชาวบ้านยังคงนิยมเรียกว่า พระเหลือ เช่นเดิม
หลวงพ่อดำ
ประดิษฐาน ด้านหน้าวิหารพระศรีศาสดา เป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย มีอายุประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ ปี สาเหตุที่เรียกองค์หลวงพ่อ ว่า หลวงพ่อดำ เนื่องจาก มีผู้มีจิตศรัทธา สร้างพระพุทธรูปองค์นี้แล้วเสร็จได้ทำการลงรักสีดำ เป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่มีการปิดทอง ชาวบ้าน จึงเรียกท่านว่า "หลวงพ่อดำ"
|
หลวงพ่อดำ |
พระวิหารพระเจ้าเข้านิพพาน
|
วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน |
|
ภายในวิหารพระเจ้าเข้านิพพาน |
วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน หรือ วิหารหลวงพ่อสามพี่น้อง เป็นวิหารขนาดกลางตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารพระพุทธชินราชนอกเขตระเบียงคต ภายในมีโบราณวัตถุที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างจากคติความเชื่อในคราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน โดยการจำลองสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นหีบบรรจุพระบรมศพ ทำด้วยศิลาตั้งอยู่จิตกาธาน
|
ด้านปลาย หีบพระบรมศพ |
ประดับด้วยลวดลายลงรักปิดทองสวยงาม ที่ปลายหีบพระบรมศพ มีพระบาททั้งสองยื่นออกมา และบริเวณด้านหน้าและด้านท้ายของหีบพระบรมศพ มีพระมหากัสปะเถระ นั่งนมัสการพระบรมศพ
พระอัฏฐารส
|
พระอัฏฐารส |
เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร ยืนสูง ๑๘ ศอก อยู่บริเวณเนินพระวิหารเก้าห้อง ตั้งอยู่ด้านหน้าองค์พระปรางค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก คำว่า "พระอัฏฐารส" มีความหมายว่า “พระสูง ๑๘ ศอก” นั่นคือมีพระวรกายสูงถึง ๑๘ ศอก บางแหล่งสันฺษฐานว่าการสร้างพระพุทธรูปสูงใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมาจากการจินตนาการจากรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ที่พบ ว่า หากมีรอยพระพุทธบาทขนาดนี้ แล้วองค์พระวรกายของพระพุทธองค์จะประมาณเท่าใด และอีกประการหนึ่งที่สันนิษฐานคือ อาจจะสร้างองค์พระให้ตรงกับข้อความที่มีการระบุไว้ใน คัมภีร์มธุรัตถวิลาสินี ว่า "พระพุทธเจ้ามีพระวรกายสูง ๑๘ ศอก" สำหรับ พระอัฏฐารส หากสืบค้นไป ก็พบว่ามีการสร้างกันมาก่อนที่เกาะลังกา โดยนิยมสร้างพระสูง ๑๘ ศอก ครั้น กรุงสุโขทัยมีพระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรือง ก็มีการสร้างพระพุทธรูปตามคติความเชื่อนี้
พระอัฏฐารส องค์เดิม มีการชำรุดทรุดโทรม ตามกาลเวลา และผลจากการศึกสงคราม จึงมีการบูรณะใหม่มาเป็นองค์พระอัฏฐารส ที่เห็นในปัจจุบัน
เมื่อสักการะพระพุทธรูปและสิ่งต่างๆ พร้อมกับเดินชม รอบๆ บริเวณวัด จนครบถ้วนแล้ว ก็เดินทางข้ามถนนจ่าการบุญ (ถนนอยู่ด้านข้าง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร) ไปยัง
วัดนางพญา ครับ
พิกัด GPS วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร : 16.823818, 100.262265
แผนที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
ขอบคุณ ครับ 😄
สำหรับท่านที่ สนใจจะจองที่พักใน จังหวัดพิษณุโลก สามารถกดดูรายละเอียดที่
ลิงค์นี้ หรือ
ลิงค์นี้ ก็ได้ ครับ