เที่ยวไหนดี? ... วัดปัญญานันทาราม 😀
วัดปัญญานันทาราม ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปคลองหลวง โดยใช้วงแหวนรอบนอก ออกที่คลองหลวง แล้วกลับรถ เพื่อขึ้นสะพานข้ามวงแหวนรอบนอก ไป ๓๕๐ เมตร แล้วกลับรถ หรือ หากท่านใด สะดวกมาทางรังสิต แล้วเข้าคลองหลวง เมื่อผ่านคลองสี่ แล้วก็จะมาพบสะพานแห่งนี้ เช่นเดียวกัน หลังจากขึ้นสะพานนี้แล้ว ขับไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย ไป ๓ กิโลเมตร เข้าถนนทางหลวงหมายเลข ๔๐๐๑ จะเป็นถนนเดียวกับโรงพยาบาลคลองหลวง (ขับประมาณ ๓ กิโลเมตร) เมื่อถึงสุดทางเป็นสามแยก เลี้ยวซ้าย ขับไป ๔ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้า ซอยคลองหกตะวันตก ๕๙ เข้าสุดซอย จะเห็น เจดีย์พุทธคยา (จำลอง)
พิกัด GPS : 14.129207, 100.722953
แผนที่
วัดปัญญานันทาราม
ต่อมา คณะศิษยานุศิษย์ โดยศูนย์สืบอายุพระพุทธศาสนา ได้ร่วมใจ ซื้อที่ดินเพิ่ม เพื่อสร้างวัดปัญญานันทาราม เป็นธรรมสมโภช ๘๔ ปี พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) โดย พระมหาสง่า สุภโร (ปัจจุบัน : พระปัญญานันทมุนี), พระมหามานพ ปญฺญาวชิโร และ พระมหาสมโภช ฐิติญาโณ จากวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ร่วมสนองงาน ก่อสร้างวัด และ กิจกรรมงานเผยแผ่พระศาสนา ทางด้านการให้ความรู้ การปฺฎิบัติธรรม ปัจจุบันมี สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และ เอกชนหลายแห่ง ส่งบุคลากรเข้ารับการอบรม อย่างต่อเนื่อง
วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ วัดปัญญานันทารามได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
ปัจจุบัน วัดปัญญานันทาราม มีเนื้อที่ ๖๙ ไร่ ๓ งาน ๒๒ ตารางวา
ประธานสงฆ์ : พระปัญญานันทมุนี (สง่า สุภโร)
เจ้าอาวาส : พระมหาเฉลิม ปิยทสฺสี
เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) |
พุทธอุทยาน สังเวชนียสถาน (จำลอง) ๔ แห่ง ณ วัดปัญญานันทาราม
รูปหล่อ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ |
พระปัญญานันทมุนี (สง่า สุภโร) เจ้าอาวาส (ปัจจุบัน) วัดชลประทานรังสฤษดิ์ มีความตั้งใจที่จะการสร้างสังเวชนียสถาน เนื่องจาก รำลึกถึงความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปัญญา, ความตั้งใจของท่านพุทธทาส ที่จะตอบแทนพุทธศาสนา, เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด ให้สมกับคำว่า “เกิดมาชาติหนึ่ง ชาวพุทธก็ควรไป ๔ สังเวชนียสถาน (ที่อินเดีย) ให้ได้
วันพุธที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงวางศิลาฤกษ์และเปิด พุทธอุทยาน สังเวชนียสถาน (จำลอง) สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๘ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ตัวองค์เจดีย์ และโดยรอบ เป็นลักษณะงานปูนปั้น เน้นสีขาว และ สีเทา สลับ เพื่อให้ดูเด่น เรียบง่าย แต่สวยงาม ใต้องค์เจดีย์ มีห้องภาพเขียน ๓ มิติ เป็นภาพแสดงเกี่ยวกับธรรม ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูป เซลฟี่ ได้
ด้านขวาองค์เจดีย์ (ด้านขวามือของพระพุทธเมตตา) |
ศิลปะบนองค์เจดีย์ |
ถ่ายแบบด้านตรง |
ถ่ายจากมุมด้านหลังองค์เจดีย์ |
ภาพถ่ายมุมเงย ด้านหน้าองค์เจดีย์ |
ด้านหน้าองค์เจดีย์ |
ที่ฐานของรูปหล่อหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มี คำจารึก เกี่ยวกับ ความตั้งมั่นของหลวงพ่อ ดังนี้
ปณิธานชีวิต
พระพุทธศาสนาเป็นคำสอน ที่สอนให้ทุกคน ได้รับเสรีภาพ อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้า ต้องการเสรีภาพ จึงพยายาม ดำเนินชีวิตตาม พระพุทธองค์ เพื่อจุดหมาย ๒ ประการ คือ ทำตนของข้าพเจ้า ให้เป็นไท และช่วยคนอื่น ให้เป็นไทอีกด้วย นี่คือปณิธาน ของข้าพเจ้า ที่เกิดขึ้นในใจ ขณะที่ยืน ทำการบูชา ใต้ควงไม้มหาโพธิ์ ณ ตำบลพุทธคยา ในคราวนั้น"
ปัญญานันทภิกขุ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พ.ศ. ๒๔๙๔
หัวใจและแผนงาน
๑. ร่างกายชีวิต เป็นของ พระรัตนตรัย ข้าพเจ้าเป็นทาส โดยสมบูรณ์
๒. ความมุ่งหมายของข้าพเจ้า อยู่ที่การประกาศ คำสอนที่แท้ของพุทธศาสนา ข้าพเจ้า จึงต้องเป็นคนกล้าพูดความจริงทุกกาละเทศะ
๓. ข้าพเจ้า จักต้องสู้ทุกวิถีทาง เพื่อทำลายสิ่งเหลวไหลในพระพุทธศาสนา นำความเข้าใจถูกมาให้แก่ชาวพุทธ
๔. ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไร เป็นส่วนตัว นอกจากปัจจัย ๔ พอเลี้ยงอัตภาพเท่านั้น ผลประโยชน์อันใด ที่เกิดจากงานของข้าพเจ้า สิ่งนั้น เป็นของงาน ที่เป็นส่วนร่วมต่อไป
๕. ข้าพเจ้าถือว่า คนประพฤติชอบ ตามหลักธรรม เป็นผู้ร่วมงาน ของข้าพเจ้า นอกจากนี้ไม่ใช่
ปัญญานันทภิกขุ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙
อุดมการณ์ชีวิต
เราเกิดมาทำไม?
"เกิดมาเพื่อทำชีวิตให้มีค่า โดยการทำงาน งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุข ขณะทำงาน"
ฉันอยู่เพื่องาน ได้ทำงาน ก็มีความสุขใจ ความสุขของฉัน อยู่กับงาน ทุกวันนั่นเอง
ปัญญานันทภิกขุ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙
พระพุทธเมตตา (จำลอง)
หลังจากเก็บภาพ รอบๆ องค์เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) แล้ว จึงเดินเข้ามากราบสักการะพระประธาน ภายในองค์เจดีย์ มีการเปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้คลายร้อน ที่สะสมมาจากด้านนอกได้ดี ครับ
พระพุทธเมตตา (จำลอง) |
พระพุทธเมตตา (จำลอง) พระประธาน ประดิษฐาน ที่ เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) วัดปัญญานันทาราม สร้างเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พระพุทธเมตตา (จำลอง) |
พระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานประทับนั่งด้วยความสงบเย็น โดดเด่นสง่างามอยู่ภายในชั้นล่าง ของ พระมหาเจดีย์พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประวัติ พระพุทธเมตตา
พระพุทธเมตตา ประดิษฐานภายในเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร (สำหรับคนไทย) ชาวอินเดียจะเรียกว่าปางภูมิสัมผัส หรือปางภูมิผัสส พุทธลักษณะทรงชี้ให้แผ่นดินเป็นพยานแห่งการทำความดีในอดีต
ความหมายของพระพุทธรูปปางนี้ คือ เป็นปางที่แสดงถึง เหตุการณ์ที่พระเจ้าสิทธัตถะทรงประทับนั่งที่บัลลังก์ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และตั้งจิตอธิษฐานที่จะปฏิบัติธรรมให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงให้สิ้นกิเลสภายในคืนนั้น ว่า
“แม้เลือดและเนื้อในสรีระนี้จะเหือดแห้งไป เหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามทีเถิด ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด”
เหล่าเทพยดาทุกชั้นทุกหมู่เหล่า ต่างก็มาประชุมกัน แวดล้อมเพื่อจะปกป้องและทำสักการะบูชาพระองค์ ขณะนั้นพญามารชื่อว่า "วสวัตตี" ซึ่งได้ติดตามขัดขวางพระองค์ ตั้งแต่เริ่มมิให้ทรงออกผนวช ได้ระดมเหล่าเสนามารพร้อมด้วยอาวุธมากมายยกพลมา หมายจะข่มขู่ให้พระโพธิสัตว์ตกพระหฤทัยกลัวและลุกหนีไปเสียจากบัลลังก์ที่ประทับ พญามารได้เนรมิตแขนข้างละพัน ถืออาวุธนานาชนิด ขึ้นคอช้างชื่อ "คีรีเมขละ" นำทัพมาโจมตี ทำให้เหล่าเทพยดาและพรหมทั้งหลาย ประชุมแวดล้อมอยู่ต่างตกใจกลัวหนีไป เหลือเพียงแต่พระมหาบุรุษเพียงผู้เดียว
พญามารอ้างว่าบัลลังก์ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น เป็นของตน โดยมีเหล่าเสนามารเป็นพยาน แล้วท้าทายว่า หามีผู้ใด ที่เป็นพยานให้แก่พระองค์ได้ ว่าบัลลังก์นี้เป็นของพระองค์ พระสิทธัตถะจึงเหยียดนิ้วชี้ลงแผ่นดิน เพราะในการให้ทานในแต่ละครั้ง ตั้งแต่อดีตกาล พระองค์ทรงหลั่งทักษิโณทก ทันใดนั้นพระแม่ธรณีจึงมาเป็นพยาน และบีบมวยผมซึ่งชุ่มด้วยน้ำให้หลั่งไหลออกมาเป็นท้องทะเลท่วมทับเหล่ามารจนพ่ายหมดสิ้นต่อพุทธบารมีที่ได้สั่งสมไว้ หลังจากนั้น พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขนาดพระพุทธรูป (ที่อินเดีย) วัดจากพระเพลาซ้ายถึงขวา กว้าง ๑๕๕ เซนติเมตร สูงจากพระเพลาถึงพระเกตุประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร ที่ฐานองค์พระมีรูปสิงโต ๒ ตัวซ้ายขวาถัดจากสิงโตเข้ามาเป็นรูปช้าง ๒ ตัวซ้ายขวา และตรงกลางเป็นรูปพระแม่ธรณีในท่าคุกเข่า
ตามประวัติกล่าวไว้ว่าองค์พระสร้างขึ้นด้วยหินสีดำเนื้อละเอียด เป็นศิลปะสมัยราชวงศ์ปาละ มีอายุประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก สมัญญานามว่า "พระพุทธเมตตา" เนื่องจาก พระพักตร์องค์พระเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน เมตตากรุณา ต่อผู้ที่พบเห็น เปรียบเสมือนหนึ่งเป็นตัวเเทนแห่งการระลึกถึงพระเมตตาคุณของพระพุทธองค์ ที่เมื่อทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้เมตตาโปรดสั่งสอนไวนัยสัตว์ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายให้ได้รู้ตามคำสั่งสอนของพระองค์
ในศตวรรษที่ ๑๓ ดินแดนบริเวณนี้ มีกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ พระนามว่า พระเจ้าปูรณวรมา เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพุทธมามกะ ครองแคว้นมคธ และมีพระเจ้าศศางกา แห่งฮินดู มุ่งรุกรานแคว้นมคธ ได้ยกทัพมาจากรัฐเบงกอลสู่ดินแดนมคธ โดยตั้งใจจะทำลายขวัญและกำลังใจของ กษัตริย์มคธและประชาชน เสียก่อน เพราะบริเวณพุทธคยานี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระพุทธเมตตาเป็นศูนย์กลางที่ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือ สักการะ บูชากันมาก หากแผนการ แล้วเสร็จจึงจะยกทัพเข้าตีเมืองหลวง เมื่อยกทัพมาถึง เหล่าทหารต่างทำการรื้อถอนต้นพระศรีมหาโพธิ์ หากรากไปถึงที่ใด ก็ขุดถอนให้สิ้น พร้อมทำการ
เมื่อ แม่ทัพผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำลายพระพุทธเมตตา ได้เห็นพระพักตร์ขององค์พระ เกิดความเปลี่ยนใจ พร้อมออกกุศโลบาย ทูลต่อพระเจ้าศศางกา ว่าขอเวลาในการดำเนินการ หลังจากนั้น จึงโบกปูนปิดเป็นกำแพง เสมือนหนึ่ง ให้ผู้พบเห็นว่าไม่มีองค์พระ และให้มีการจุดประทีปบูชาไว้ภายใน หลังจากนั้น กราบทูลให้พระเจ้าศศางกาทรงทราบว่าได้ทำลายองค์พระแล้ว หลังจากที่พระเจ้าศศางกาทรงทราบข่าว ดังกล่าว ก็เกิดการประชวร และสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา เมื่อกองทัพเบงกอล ทราบข่าวว่า กองทัพของพระเจ้าปูรณวรมา กำลังเดินทางใกล้จะมาถึง จึงถอยทัพกลับ ครั้นกองทัพพระเจ้าปูรณวรมา มาถึง ได้ทุบกำแพงนั้นเสีย ได้พบเหตุมหัศจรรย์ใจว่า ประทีปที่จุดบูชาไว้ภายในยังส่องแสงสว่างโดยไม่ดับเลย
มุมหนึ่ง ของ เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) |
เมื่อทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาจากเจดีย์พุทธยา (จำลอง) มาที่แดนประสูติ
สังเวชนียสถานที่ 1 แดนประสูติ
แดนประสูติ |
แดนประสูติที่สวนลุมพินีวัน (อินเดีย) ขณะนั้น ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์แปลกกรุงเทวทหะเป็นชาตสถาน (ที่ประสูต) ของสิทธัตถะกุมาร ปัจจุบันคือตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล
เมื่อพระองค์ประสูติได้ทรงเปล่ง อาสภิวาจา (วาจาอันองอาจ) ด้วยความตั้งใจมั่นว่า
"อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก
เชฎโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก
เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก
อะยะมันติมา เม ชาติ ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายของเรา
นัตถิทานิ ปุนัพภะโว บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เราอีกฯ"
แดนประสูติ นี้อยู่ทางด้านขวามือ ขององค์เจดีย์ หากท่านเดินมา ก็สามารถแวะก่อนเข้าองค์เจดีย์ ก็ได้ ครับ
สัญลักษณ์ดอกบัวทิพย์ ๗ ดอก ทั้สิทธัตถะกุมารเดินหลังจากประสูติ |
พระพุทธรูปปางประสูติ |
พระพุทธรูปปางประสูติ
พระพุทธรูปปางประสูติ นี้ จำลองจากลักษณะของสิทธัตถะกุมาร ที่แสดงหลังจากประสูติ ตามพุทธประวัติ พระพุทธรูปปางนี้ มีความหมายว่าผู้ที่จะสำเร็จสมดังปรารถนาจากต้องฝืนชะตา ฝ่าดวง ลิขิตสิ่งทั้งปวงด้วยตนเองด้วยหลักแห่งการกระทำ อาศัยความเพียร มีจิตเมตตาแผ่ไพศาลดุจแผ่นฟ้า มีปัญญาหนักแน่นดุจแผ่นดิน
ช้างบนยอดเสาอโศก และ เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) |
ช้างบนยอดเสาอโศก
สัญลักษณ์แทนความประเสริฐ บุญบารมี สื่อนัยที่พระนางสิริมหามายา มีพระสุบินนิมิต (ฝัน) เห็นช้างเผือกตัวประเสริฐ (นาค) ถือดอกบัวกระทำประทักษิณ (เวียนขวารอบพระวรกาย) แล้วหายเข้าไปสู่พระอุทร (ท้อง) ซึ่งหลังจากนั้นก็นางก็ทรงพระครรภ์
สำหรับสถานที่ ที่เหลืออยู่ (สถานที่แสดงปฐมเทศนา, สถานที่ปรินิพพาน) ผมไม่เห็นในบริเวณนี้ ก็เลยตัดสินใจ ไปห้องภาพ แสดงธรรม ที่อยู่ใต้องค์เจดีย์ ครับ
ขอบคุณครับ 😄
อ่านต่อ : วัดปัญญานันทาราม ชั้นพุทธบารมี (ห้องภาพ ๓ มิติ)
อ่านต่อ : วัดปัญญานันทาราม โบสถ์ และการปฏิบัติธรรม
สำหรับท่านที่ สนใจจะจองที่พักในจังหวัดปทุมธานี สามารถกดดูรายละเอียดที่ ลิงค์นี้ หรือ ลิงค์นี้ ก็ได้ ครับ