เที่ยวไหนดี? ... ไหว้พระ ๙ วัด สระบุรี วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตอนที่ ๑

เที่ยวไหนดี? ... ไหว้พระ ๙ วัด  สระบุรี  😀

๕.  วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี  (ตอนที่ ๑/๓)

ออกจากวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)  ก็ เลี้ยวซ้ายเขาสู่ถนนทางหลวงหมายเลข ๔๐๐๙ มาประมาณ ๔๕๐ เมตร จะเป็นสามแยก เลี้ยวซ้าย จะเป็นถนนทางหลวงหมายเลข ๓๐๓๔  ตรงมาเรื่อยๆ ๔.๔ กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข ๑)   มุ่งหน้าไป ๙.๕ กิโลเมตร จะสังเกตุเห็นซุ้มประตู ใหญ่สีขาว และศาลาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ทางซ้ายมือ ด้านในเป็นถนนคู่  เลี้ยวซ้ายขับต่อไป ๗๐๐ เมตร จะเห็นวัดอยู่ทางด้านซ้ายมือ


พิกัด GPS :  14.718309, 100.788622

แผนที่


วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร

ประวัติวัด


ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่า มีพระภิกษุสงฆ์ชาวไทยคณะหนึ่ง เดินทางไปยังลังกาทวีป ด้วยหวังจะสักการบูชาพระพุทธบาท ณ เขาสุมนกูฏ การไปคราวนั้นเป็นเวลาที่พระสงฆ์ชาวลังกาทวีปกำลังสอบประวัติ และที่ตั้งแห่งรอยพระพุทธบาททั้งปวงตามที่ปรากฏอยู่ในตำนานว่ามีเพียง ๕ แห่ง ภายหลังสืบได้ความว่า ภูเขาที่ชื่อว่า สุวรรณบรรพต มีอยู่ในสยามประเทศ ครั้นเมื่อได้พบกับพระภิกษุสงฆ์ชาวไทยในคราวนั้น ต่างพากันสอบถามว่ารอยพระพุทธบาท ที่มีอยู่ ๕ แห่ง ในสถานที่ต่างๆ กันนั้น ปรากฏว่ามีที่เขาสุวรรณบรรพตแห่งหนึ่ง ก็ภูเขาลูกนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ภิกษุไทยไม่พยายามสืบไปนมัสการ กลับพากันไปถึงลังกาทวีป เมื่อพระภิกษุสงฆ์ไทยคณะนั้นได้รับคำบอกเล่า เมื่อกลับมาสู่ประเทศไทย จึงนำความขึ้นถวายสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราสั่งบรรดาหัวเมืองทั้งปวง ให้เที่ยวตรวจตราค้นดูตามภูเขาต่างๆ ว่าจะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ ที่แห่งใด 

ครั้งนั้น เจ้าเมืองสระบุรี สืบได้ความจากนายพรานบุญว่า ครั้งหนึ่งออกไปล่าเนื้อในป่าใกล้เชิงเขา ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งเจ็บลำบากหนีขึ้นไปบนไหล่เขา ซุกเข้าเชิงไม้หายไป พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้น วิ่งออกจากเชิงไม้เป็นปกติอย่างเก่า นายพรานบุญนึกประหลาดใจ จึงตามขึ้นไปดูสถานที่บนไหล่เขาที่เนื้อหนีขึ้นไป ก็พบรอยปรากฏอยู่ในศิลา มีลักษณะเหมือนรูป รอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณสักศอกเศษ และ ในรอยนั้นมีน้ำขังอยู่ด้วย นายพรานบุญเข้าใจ ว่าบาดแผลของเนื้อตัวที่ถูกตนยิง คงหายเพราะดื่มน้ำในรอยนั้น จึงวักน้ำลองเอามาทาตัวดู บรรดาโรคผิวหนังคือ กลากเกลื้อน ซึ่งเป็นเรื้อรังมาช้านานแล้ว ก็หายหมดสิ้นไป เจ้าเมืองสระบุรี จึงสอบสวนความจริงดู ก็ตรวจค้นพบรอยนั้น สมดังคำบอกเล่าของนายพรานบุญ จึงมีใบบอกแจ้งเรื่องเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา 

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป ณ ที่เขานั้น ทอดพระเนตรเห็นรอยนั้นแล้ว จึงทรงพระราชวิจารณ์ตระหนักแน่ในพระราชหฤทัยว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาท เพราะมีลายลักษณ์กงจักร ประกอบด้วยอัฏฐุตตรสตมหามงคลร้อยแปดประการ ตรงกับเรื่องทีชาวลังกาทวีปแจ้งเข้ามาด้วย เกิดพระราชศรัทธาปราโมทย์โสมนัสเป็นกำลัง โดยทรงพระราชดำริเห็นว่ารอยพระพุทธบาทย่อมจัดเป็นบริโภคเจดีย์แท้ เพราะเป็นพุทธบทวลัญช์อันเนื่องมาแต่พระพุทธองค์ ย่อมประเสริฐยิ่งกว่าอุเทสิกเจดีย์ เช่น พระสถูปเจดีย์ สมควรจะยกย่องบูชาเป็นพระมหาเจดียสถาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างก่อเป็นคฤหหลังน้อย สวมรอยพระพุทธบาทไว้เป็นการชั่วคราวก่อนแล้ว ครั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังราชธานี จึงทรงสถาปนายกที่พระพุทธบาทขึ้นเป็นเจดียสถานเป็นการสำคัญ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑปยอดเดี่ยวสวมรอยพระพุทธบาทกำหนดเป็นพุทธเจดีย์ และสร้างอารามวัตถุอื่นๆ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ให้เป็นที่สำหรับพระภิกษุอยู่แรม เพื่อทำการบริบาลพระพุทธบาท ทรงพระราชศรัทธาอุทิศเนื้อที่โยชน์หนึ่ง โดยรอบรอยพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธเกษตรต่างพุทธบูชา บรรดากัลปนาผล ซึ่งได้เป็นส่วนของหลวงจากเนื้อที่นั้นให้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษาพระมหาเจดียสถานที่พระพุทธบาท ทรงยกที่พุทธเกษตรส่วนนี้ให้เป็นเมืองชั้นจัตวา ชื่อเมืองปรันตปะ แต่นามสามัญเรียกกันว่า เมืองพระพุทธบาท ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา 

โปรดเกล้าฯ ให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่พระพุทธบาทพ้นจากหน้าที่ราชการอย่างอื่นสิ้น ตั้งให้เป็นพวกขุนโขลนเป็นข้าปฏิบัติบูชารักษาพระพุทธบาทแต่หน้าที่เดียว พระราชทานราชทินนามบรรดาศักดิ์ประจำตำแหน่งผู้รักษาการพระพุทธบาท หัวหน้าเป็นที่ขุนสัจจพันธ์คีรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน รองลงมาเป็นที่หมื่นสุวรรณปราสาท หมื่นแผ้วอากาศ หมื่นชินธาตุ หมื่นศรีสัปบุรุษ ทั้ง ๔ คนนี้ เป็นผู้รักษาเฉพาะองค์พระมณฑป ตั้งนายทวารบาล ๔ นาย เป็นที่หมื่นราชบำนาญทมุนิน หมื่นอินทรรักษา หมื่นบูชาเจดีย์ หมื่นศรีพุทธบาล โปรดเกล้าฯ ให้สร้างคลังสำหรับเก็บวัตถุสิ่งของที่มีผู้นำมาถวายเป็นพุทธบูชา ให้ผู้รักษาคลังเป็นที่ขุนอินทรพิทักษ์ ขุนพรหมรักษา หมื่นพิทักษ์สมบัติ หมื่นพิทักษ์รักษา ให้มีผู้ประโคมยามประจำทั้งกลางวันกลางคืนเป็นพุทธบูชา ตั้งเป็นที่หมื่นสนั่นไพเราะ หมื่นเสนาะเวหา พันเสนาะ รองเสนาะ ทรงกำหนดเทศกาลสำหรับให้มหาชนขึ้นไปบูชารอยพระพุทธบาทเดือน 3 ครั้ง 1 และเดือน 4 ครั้ง 1 เป็นประเพณีตั้งแต่นั้นมา


กุมภัณฑ์เฝ้าวัด

หลังจากจอดรถที่บริเวณหน้าวัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พร้อมในการเดินเที่ยวชม และสักการะ สำหรับทางเข้าวัดจะมี ๒ ประตู ซึ่งผมเลือกประตูที่ใกล้สุดกับที่จอดรถ   เมื่อมาถึงด้านหน้าวัด จะพบยักษ์ ๒ ตน ที่หน้าวัด มีลักษณะสีเขียว ทางด้านซ้ายมือของเรา และ สีชมพู ทางด้านขวามือ ยืนถือกระบองอยู่บนแท่น ประตูทางเข้าวัด ยักษ์ทั้ง ๒ ตนนี้ สร้างมาในสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศและได้รับการบูรณะเรื่อยมา ยักษ์สองตนนี้เรียกกันว่า กุมภัณฑ์เฝ้าวัด จะมองเห็นการแต่งกายของศิลปะโขนละครตามยุคสมัยดั้งเดิม

กุมภัณฑ์เฝ้าวัด สร้างสมัยพรเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

เมื่อเข้าสู่วัดจะเห็นพระมณฑป ซึ่งขณะที่ผมไป กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะ และด้านล่างเป็นแนวระฆังเแขวน มีเสียงระฆังดังกังวาลเป็นระยะๆ  ตลอดเวลา
พระมณฑป บรรจุรอยพระพุทธบาท
ระฆังแขวน
จากนั้นเดินขึ้นไปด้านบน ผ่านบันได นาคเจ็ดเศียร มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งว่ากันว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

บันได นาคเจ็ดเศียร


พระอุโบสถวัดพระพุทธบาท

ระหว่างขึ้นบันไดนาคเจ็ดเศียร จะเห็นพระอุโบสถอยู่ทางด้านซ้ายมือ  เป็นพระอุโบสถที่มีรูปทรงสวยงามกระทัดรัด สร้างด้วยอิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ประดับกระจกสีทองที่หน้าบันแกะเป็นลายกนกมีรูปตราพระมหามงกุฎ ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ในรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานอยู่ตรงกลางตลอดทั้งหน้าบัน ปิดทองประดับกระจก พระอุโบสถหลังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดให้สร้างขึ้นพร้อมกับสร้างพระมณฑป พระมหากษัตริย์นับแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม ตลอดมาถึงรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงมีพระราชศรัทธาและโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์พระมณฑปพระพุทธบาท และพระอุโบสถสังฆเสนาสนะสิ่งอื่นตามโอกาส พระอุโบสถได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงยกช่อฟ้าขึ้นประดิษฐาน เมื่อวันที่ ๖ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๓ เนื่องจากพระอุโบสถได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ในพ.ศ. ๒๕๔๙ วัดพระพุทธบาท จึงได้ขอพระบรมราชานุญาตบูรณปฏิสังขรณ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เนื่องในงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ พรรษา และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ การบูรณปฏิสังขรณ์ เป็นเงิน ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถวัดพระพุทธบาท และทรงเปิดศาลาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ณ วัดพระพุทธบาท อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในวันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
บานประตูพระอุโบสถ เป็นประตูไม้จำหลักลงรักปิดทองประดับกระจกสี มีรูปแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ดังที่ปรากฏตราพระมหามงกุฎซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ และเนื่องจากทวารบาลหรือเซี่ยวกาง ที่มีลักษณะคล้ายกับของวัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ที่ได้อิทธิพลมาจากศิลปะจีน เป็นรูปเทวดาไว้เครายาวแบบจีนสวมชฏาทรงสูง ใส่ชุดเกราะแบบไทย ยืนเหยียบบนหลังสิงโตแบบจีนที่ยืนอยู่บนภูเขา ทวารบาลหรือเซี่ยวกางบานประตูทางด้านขวาของพระอุโบสถมือทั้งสองข้างถือพระขรรค์ ส่วนทวารบาลหรือเซี่ยวกางบานประตูทางด้านขวาของพระอุโบสถ มือซ้ายถือมีดดาบยกขึ้นเหนือศีรษะมือขวาวางบนขาขวา ทวารบาลหรือเซี่ยวกางทั้งบานรายล้อมด้วยลายก้านต่อดอก แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของศิลปะไทย-จีน
(บานประตู,, ผมไม่ได้ ถ่ายมาครับ 😄)

หน้าบันพระอุโบสถ ด้านหลัง
หน้าบันพระอุโบสถวัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร มีรูปแบบลักษณะเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาตอนปลาย ใช้วัสดุเป็นไม้ลงรักประดับกระจกสีผสมกับการลงรักปิดทอง มีรูปทรงสามเหลี่ยมทำเส้นล้อมกรอบเป็นลายจุดประดับกระจกสี ถัดเข้าไปเป็นลายกนกเปลวกาบช้อนออกเป็นตัวกนก ต่อซ้อนขึ้นไปในกรอบรูปสามเหลี่ยม ที่ตรงกลางภาพเป็นไม้แกะสลักลงรักปิดทอง
รูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค ล้อมรอบด้วยลายก้านขดกาบช้อนปลายยอดขมวดออกเป็นเทพกำลังร่ายรำ และหัวสิงห์ พื้นลงรักประดับกระจกสีน้ำเงิน เหนือพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคขึ้นไปด้านบนเป็นรูปทรงพุ่มข้าวบินฑ์ภายในเป็นกนกรูปนาคกาล เหนือขึ้นไปอีกเป็นรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ภายในเป็นเกียรติมูข

บานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร เป็นประตูไม้จำหลักลงรักปิดทองประดับกระจกสี มีรูปแบบศิลปะในแนวเดียวกับหน้าบัน  คือมีลายกนกออกดอกเรียงซ้อนกัน ภายในเป็นรูปกนกก้านขดออกดอกเป็นหัวนาครายล้อมตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑ – ๔ มีการเรียงลำดับจากบนลงล่างดังนี้

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑ เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็น พฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมมีรูปร่างคล้ายสังข์ ทักษิณาวรรต (สังข์เวียนขวา) อยู่ในกรอบลายกนก ใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “ฉิม”ตามพระนามเดิมของพระองค์ มีความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวกำเนิด เป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ทับ" หมายความว่า ที่อยู่ หรือเรือน ตามพระนามเดิมของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้สร้างรูปปราสาท

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๔ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระมหามงกุฏ ลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฏ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “มงกุฎ” ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกุธภัณฑ์ มีฉัตร บริวารตั้งขนาบข้างที่ริมขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชร ข้างหนึ่ง สมุดตำราข้างหนึ่ง รูปพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรนี้มาจากฉายาเมื่อทรงผนวชว่า "วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน

(สำหรับบานหน้าต่างพระอุโบสถ ก็ไม่ได้ถ่ายมา ครับ  แต่ลงรายละเอียดสำหรับท่านที่สนใจ 😄 เนื่องจากผมมองจาก วิหารคลังล่าง เห็นว่าปิดเลย ไม่ได้ลงไป ครับ)

วิหารคลังล่าง (วิหารจีน)

เมื่อถึงด้านบนจะพบวิหารคลังล่าง ทางด้านซ้ายมือ เป็นวิหารที่มีการตกแต่งแบบจีน วิหารคลังโดยรอบในชั้นนี้มีทั้งหมด ๓ คลัง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่แผ่นดินสมัยพระเจ้าทรงธรรม เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว และเก็บเครื่องพุทธบูชา  พระวิหารทั้ง ๓ หลัง นี้ ได้รับการบูรณะปฎิสังขรณ์เรื่อยมา ครั้งหลังสุด ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗  พระวิหารคลังล่าง ปัจจุบันเรียกกันว่า "วิหารจีน" เนื่องจากตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ มีการใช้สถานที่ในการออก ฮู้. เตี๊ยบ, ธง สำหรับพุทธศาสนิกชนชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน   อีกทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน มีความเชื่อกันว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สถิตของ "พระซำปอกง" และองค์ไฉ่เซงเอี้ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)  ภายในวิหารคลังล่างมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เรียกว่า "พระกวนอิม"  กับพระพุทธรูปในสมัยต่างๆ 




พระกวนอิม

เตี๊ยบ (พาสปอร์ตสู่สวรรค์) 


เมื่อกว่า ๓๘๐ ปีมาแล้ว ชาวจีนในไทยและต่างประเทศ ถือเป็นประเพณีว่าหากมีโอกาสจะมาไหว้บูชาพระพุทธบาททุกปี  พร้อมทำบุญขอรับ "เตี๊ยบ" ให้กับตนเอง บุพการี บุตร หลาน ญาติมิตร หรือบุคคลอื่นใดที่จะมอบให้     ชาวจีนเชื่อกันว่า "เตี๊ยบ" ที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารออกให้ จะเป็นหนังสือแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ถ้าตายแล้วมี "เตี๊ยบ" นี้ไปด้วย ชีวิตหลังความตายจะดำเนินไปในทางที่ดี ที่ถูกต้อง ไร้มารร้ายมารบกวน 
คนจีนเชื่อว่าจะได้บุญสูง ได้ทดแทนคุณบิดามารดา ถ้าทำบุญซื้อ "เตี๊ยบ" ให้แก่ บิดา มารดา ลงชื่อแซ่ ของท่่านลงไปด้วย จะเป็นใบเบิกทางให้ท่านไปสู่สรวงสวรรค์  ทั้งเชื่อว่า ทำบุญซื้อ "เตี๊ยบ" ให้ใครก็ได้ ซื้อให้ตัวเองหรือบุตร หลาน เพียงระบุชื่อใน "เตี๊ยบ" หรือบูชา "เตี๊ยบ" ก็จะทำให้อายุมั่นขวัญยืน จะพบแต่ความสุข ความเจริญ   


หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในวิหาร คลังล่างแล้ว ออกมาจะเห็น ศาลเจ้าพ่อ พระกาฬ อยู่ถัดไป ครับ


ขอบคุณครับ


สำหรับท่านที่สนใจหาที่พัก ใน จังหวัดสระบุรี สามารถ กดลิงค์ ที่นี่ ได้  หรือ กดลิงค์นี่ ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น