เที่ยวไหนดี? ... ปทุมธานี สามโคก คลองควาย ไหว้พระ วัดเจดีย์ทอง

เที่ยวไหนดี? ... ปทุมธานี สามโคก คลองควาย ไหว้พระ วัดเจดีย์ทอง 😄


ที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี  เป็นเมืองโบราณดั้งเดิม ชื่อเดิม คือ "เมืองสามโคก"  เนื่องจากมี โคกโบราณอยู่ในเมือง ๓ แห่ง มีหลักฐานว่า มีการตั้งรกราก เป็นชุมชนเมืองในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา  ครั้นเมื่อมีการเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๑๑๒  เมืองแห่งนี้ ได้รกร้างว่างเปล่าไป

ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๒๐๓  ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมิงเปอกับพรรคพวก ชาวมอญจำนวน ๑๑ คน ได้พาครอบครัวมอญประมาณหมื่นคนอพยพหนีจากพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารขององค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ "บ้านสามโคก" ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ชุมชนมอญจึงได้ขยายตัวเจริญรุ่งเรือง ขึ้นตามลำดับ

ครั้นเสียกรุงครั้งที่ ๒  สถานที่แห่งนี้ ก็ซบเซาลง มีการค้นพบหลักฐาน ในบริเวณ วัดเจดีย์ทอง แห่งนี้ ถึง ใบเสมาขนาดใหญ่ และหินทรายแดง  ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี และต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวมอญ (รามัญ) อพยพมาจากเมืองเมาะตะมะ โดยมีพระยาเจ๋ง เป็นผู้นำ เข้ามาตั้งรกรากที่เมืองสามโคก แห่งนี้ มีการเริ่มบูรณะถาวรวัตถุ กุฎิ และศาลาขึ้นใหม่  ต่อมาพระยารามัญ (พระยาเจ่ง) ได้รับการแต่งตั้ง เป็น  พระยานครเขื่อนขันธ์รามัญชาติเสนาบดี

วัดเจดีย์ทอง สร้างบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑  ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เป็นวัดไทยรามัญหรือวัดไทยเชื้อสายมอญ นับว่าเป็นวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่ง

วิหารวัดเจดีย์ทอง

วัดเจดีย์ทอง ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ ๒๕๐๘  เอกลักษณ์ของวัดเจดีย์ทอง มี ดังนี้

เจดีย์ทอง

. "เจดีย์ทอง" ก่อตั้งอยู่ หน้าวัดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รูปแบบการก่อสร้าง จำลองย่อส่วนมาจาก อานันทะเจดีย์แห่งเมืองพุกาม  รูปทรงระฆังคว่ำ ฐานเป็นลานทักษิณา มีกำแพงแก้วโดยรอบ มีซุ้มจรนำโค้ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป ๔ ด้าน  ลงรักปิดทองประดับกระจกสี  มีเจดีย์ประจำ ๔ ทิศ  เจดีย์ประธานเป็นทรงจอมแห ยอดเจดีย์ประกอบด้วย ปล้องไฉน ปรียอด และยอดฉัตร ๙ ชั้น  เจดีย์ทรงปราสาทมอญแห่งนี้ มีการประดับด้วยเครื่องถ้วยอย่างจีน

พระพุทธรูปในซุ้มด้านที่ ๑ ของเจดีย์ทอง

พระพุทธรูปในซุ้มด้านที่ ๒ ของเจดีย์ทอง

พระพุทธรูปในซุ้มด้านที่ ๓ ของเจดีย์ทอง

พระพุทธรูปในซุ้มด้านที่ ๔ ของเจดีย์ทอง

บริเวณโดยรอบเจดีย์ทอง

๒. "เสาหงส์ธงตะขาบ"  หงส์ เป็นสัญลักษณ์ ของชาวมอญ ที่มีปรากฎในพงศาวดารมอญ เรื่อง หงส์ช้อนต้นกำเนิดกรุงหงสาวดี กรุงหงสาวดีตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพะโค ซึ่งดั้งเดิม กรุงหงสาวดี เป็นเมืองของชาวรามัญ  แต่ภายหลัง พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ทำสงครามยึดครองหงสาวดีจากชาวรามัญได้  ในปี พ.ศ. ๒๐๘๒  และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู (พม่า)  กรุงหงสาวดี เจริญรุ่งเรืองสุด ในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากมีการสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีประตูทางเข้าออกถึง ๑๐ ประตู ของพระองค์ที่ชื่อ กัมโพชธานี  กรุงหงสาวดีล่มสลายลง ในรัชสมัยพระเจ้านันทบุเรง ซึ่งเสด็จไปประทับ ณ เมืองตองอู โดยกวาดต้อนผู้คนและเสบียงจากกรุงหงสาวดีไปทั้งหมด เพื่อเตรียมรับทัพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ยิ่งตีประชิดเข้ามาเรื่อยๆ  เมื่อกรุงหงสาวดี ร้าง ทำให้ ยะไข่ สามารถเข้ามาปล้นและเผาเมืองในส่วนที่เหลือ

เสาหงส์ตะขาบ
สำหรับ หงส์ ที่มีความเกี่ยวกับ ตำนานกำเนิดกรุงหงสาวดี คือ  เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๘ พรรษา ได้จาริกมาที่ภูเขาสุทัศนมรังสิต (บริเวณที่ตั้งของกรุงหงสาวดี ซึ่งในครั้งนั้น เป็นท้องทะเล) พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นหงส์ทองสองตัวลงเล่นน้ำ  จึงทรงมีพุทธทำนายว่า สืบไปภายหน้าอีก ๑,๑๑๖ ปี  สถานที่ซึ่งหงส์ทองเล่นน้ำจะเกิดเป็นมหานครชื่อว่า หงสาวดี และจะเป็นที่ตั้งพระธาตุสถูปเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองสถิตสถาพรอยู่ ณ ที่นี้

กรุงหงสาวดี ได้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ. ๑๑๑๖ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๓   นอกเหนือ ตำนานดังกล่าว แล้ว หงส์ ยังเป็นชาติหนึ่งที่ พระพุทธเจ้า เคยเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นพญาหงส์ ชื่อ พญาหงส์ธตรฐ และพระอานนท์ เป็น สุมุขหงส์  ใน จุลลหังสชาดก  นอกจากนี้ ชาวมอญ ยังเชื่อว่า หงส์ เป็นจ้าวแห่งนกทั้งปวง เป็นผู้พิทักษ์รักษาท้องฟ้า และเป็นพาหนะที่นำวิญญาณผู้ตายสู่สวรรค์ การทำตุงอุทิศให้ผู้ตาย จึงมักนิยมนำไปแขวนที่เสาหงส์  ชาวรามัญแต่อดีต มาจนถึงชาวมอญในปัจจุบัน มีการสร้างเสาหงส์ขึ้น และหงส์ในรูปแบบถาวรวัตถุต่างๆ  เป็นพุทธบูชา มาเป็นระยะเวลายาวนาน

เจดีย์ทองและเสาหงส์ธงตะขาบ

สำหรับ ธงตะขาบ มีอยู่สองตำนาน ดังนี้

ตำนานที่ ๑  เล่าว่า ในสมัยอดีตกาล ได้มี ฤๅษี ๔ ตน เป็นสหายกัน ตกลงที่แยกบำเพ็ญตนอยู่คนละภูเขา และได้ให้สัตย์ต่อกันว่า ทุกๆ ปี จะทำการชูธงขึ้นสูงเหนือยอดเขาเพื่อส่งแจ้งต่อฤๅษีอีก ๓ ตน ได้ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่ มิได้เสียชีวิต หรือหนีไป

ต่อมาฤๅษีตนหนึ่งเกิดเสียชีวิตลง และไปเกิดเป็นพระราชาปกครองแคว้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ๆ พระราชาทรงพระประชวรมีอาการแสบร้อนในพระวรกาย จนแทบจะไม่สามารถดำรงพระวรกายอยู่ได้ จึงทรงเรียกหมอหลวงและโหรหลวงมาตรวจพระวรกายและทำนายดวงพระชาตา โหรหลวงได้กราบบังคมทูลว่า เดิมในอดีตชาติพระราชาได้เป็นพระฤๅษี ซึ่งเสียสัตย์ต่อฤๅษีทั้ง ๓ เอาไว้ ควรจะเสด็จไปขออภัยโทษฤาษีทั้งสาม เสีย อาการประชวรจะหายไปเอง

พระราชาทรงรับสั่งให้จัดกระบวนเรือเสด็จไปยังภูเขาทั้งสามลูก ที่ฤาษีแต่ละตอนอยู่ หลังจากที่ได้พบฤาษีแต่ละตน เป็นที่เรียบร้อย จึงเสด็จกลับ และระหว่างทาง ทรงงาช้างกองเท่าภูเขา ทรงรับสั่งให้ทหารขนลงเรือได้ ๗ ลำ นำกลับพระราชวัง

งาช้างที่พระราชา นำกลับมานั้น มีเจ้าของคือ พญาตะขาบ ซึ่งในระหว่างที่มีการขนย้าย พญาตะขาบได้ ได้ออกจับช้าง มาเป็นอาหาร ซึ่งอยู่ห่างไกล เนื่องด้วยช้างในบริเวณใกล้ๆ ถูกจับกินหมดแล้ว  เมื่อกลับมาถึงที่พัก พญาตะขาบ พบว่างาช้างที่มีอยู่หายไปหมดสิ้น จึงออกติดตามหา

พญาตะขาบรีบตามมาทัน เห็นขบวนเรือของพระราชา อยู่กลางมหาสมุทร ซึ่งมีปูทะเลยักษ์แผ่ก้ามอยู่กลางมหาสมุทร  เมื่อพระราชาเห็นว่าพญาตะขาบว่ายน้ำตามมา ทรงรับสั่ง กระบวนเรือพระที่นั่งให้รีบแล่นหนี ผ่านระหว่างกลางของก้ามปูยักษ์ไปได้  แต่ เนื่องจากลำตัวของพญาตะขาบใหญ่กว่าลำเรือมาก และไม่ทันเห็น ประกอบกับมีขารุงรังมาก  เมื่อว่ายน้ำผ่านกลางก้ามปู ขาสัมผัสถูกก้ามปู ปูยักษ์ตกใจจึงหุบก้าม ทำให้พญาตะขาบเสียชีวิตทันที

ครั้นกลับถึงพระราชวัง จึงนำงาช้างที่ได้ทั้งหมด สร้างเป็นหอคอยงาช้างได้สูงถึง ๗ ชั้น ต่อมาได้ ฝันเห็นตะขาบเข้าทำลายหอคอยดังกล่าว  โหรหลวงทำนาย่ว่า งาช้างดังกล่าวเป็นของพญาตะขาบที่ตามไล่พระองค์ในครั้งนั้น ซึ่งเสียชีวิตและเกิดแรงอาฆาตในตัวพระองค์  โหรหลวงจึงได้ถวายคำแนะนำว่า ขอให้พระองค์ทรงนำเอาผ้าผื่นใหญ่เขียนเป็นรูปตะขาบ แล้วนำไปแขวนไว้บนยอดปราสาท เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า พญาตะขาบเป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้พญาตะขาบ และเป็นการขอขมาลาโทษ จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน พระราชารู้สึกถึงบาปกรรมที่ตนได้ก่อขึ้น ทรงดำริให้ทำธงรูปตะขาบ แขวนไว้เหนือหอคอย  ธงตะขาบจึงเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการตอบแทนคุณ และการอุทิศผลบุญแก่ผู้มีคุณซึ่งล่วงลับไปแล้ว

ป้ายวัดที่ตั้งอยู่ริมน้ำ

ตำนานที่ ๒
  เล่าว่า มีพ่อค้าจากต่างแดน เดินทางมา ณ ดอยสิงคุตต์ เมืองย่างกุ้ง มาพบซากช้างเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงทำการขนงาช้างที่มีอยู่ลงเรือสำเภาของตนไป  ตะขาบยักษ์เป็นเจ้าของงาช้างเหล่านั้น ซึ่งในช่วงที่พ่อค้าขนย้าย นั้น ตะขาบยักษ์ไม่อยู่  เมื่อกลับมาถึงที่พัก ตะขาบยักษ์ พบว่างาช้างที่มีอยู่หายไปหมดสิ้น จึงออกตามหาด้วยความโกรธ ไล่ตามพ่อค้าไปถึงกลางทะเล แต่ต้องเสียชีวิตด้วยปูยักษ์ ต่อมาในสมัยพุทธกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าจากอุกกลชนบท ได้พบกับพระพุทธเจ้าและได้แสดงตนเป็นอุบาสก พระพุทธเจ้าจึงประธานพระเกศาธาตุให้ทั้งสองคน ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านเมืองของตนแล้ว จึงได้เสาะหาสถานที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุเกศาธาตุ จนมาถึงที่ดอยสิงคุตต์ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่เดิมของตะขาบยักษ์  สำหรับเจดีย์ที่สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันคือเจดีย์ชเวดากอง และการแขวนธงตะขาบก็เพื่อระลึกถึงตะขาบยักษ์เจ้าถิ่นและบูชาปูชนียสถานด้วย

สำหรับธงตะขาบนี้ เป็นธงบูชาพระพุทธเจ้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของชาวมอญ  แต่เดิม ชาวรามัญจะสร้างแยก ระหว่าง เสาหงส์ และเสาธงตะขาบ ยอดบนสุดของเสาธงตะขาบนั้นบางวัดก็ทำเป็นรูปช้างสามเศียร กินนรี ม้า หรือหงส์ แต่ต่อมาจึงปรากฏว่านิยมทำยอดเสาทั้งหมดเป็นรูปหงส์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเมืองหงสาวดีของมอญ และภายหลัง รวมกันเป็นเสาเดียว

ศาลาริมน้ำ

. "พระพุทธรูปหยกขาว เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ หลวงตาอมรา ได้อัญเชิญพระพุทธปฎิมากรหยกพม่า องค์นี้มาทางเรือจากย่างกุ้ง ประเทศพม่า ผ่าน เกาะสอง, จังหวัดระนอง เข้ามาทางชายฝั่งสู่อ่าวไทย ทางจังหวัดสมุทรปราการ แล้วย้ายจากเรือเดินทะเลลงเรือกระแซง ลากจูงมาสู่วัดเจดีย์ทอง พระพุทธรูปองค์นี้ แกะสลักด้วยมือจากหินหยกขาวพม่า ขนาดหน้า ตักกว้าง ๕๗ เซนติเมตร เป็นศิลปกรรมแบบพม่า ประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารวัดเจดีย์ทอง

พระพุทธรูปหยกขาว หรือ หลวงพ่อขาว
ขอขอบคุณ ภาพจาก Facebook วัดเจดีย์ทอง

. “โกศ” ซึ่งเป็นเจดีย์ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิ เป้นศิลปะพม่าและมอญผสมผสมผสานกัน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบแบบจีน ตั้งอยู๋ริมน้ำ ใกล้ๆ กับเจดีย์สีทอง

โกศ

พิกัด GPS :  14.086604, 100.524481

แผนที่ 



การเดินทาง

จากรังสิต ใช้ถนนรังสิต-ปทุมธานี สุดทางเป็นสามแยก มีตลาดพูนทรัพย์ ทางซ้ายมือ และด้านหน้าเป็นโรงพยาบาลกรุงสยามเซ็นต์คาร์ลอส เลี้ยวขวา และขับตามเส้นทาง แต่อยู่ทางซ้ายมือ จะขึ้นสะพานปทุมธานี (สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) ลงสะพานชิดซ้าย จะพบสี่แยกสันติสุข เลี้ยวขวา เข้าสู่ถนน ปทุมธานี-สามโคก-เสนา ไป ๖.๕ กิโลเมตร จะพบสะพานข้ามถนนวงแหวน ให้เบี่ยงออกซ้ายและกลับรถใต้สะพานนั้น  หลังจากกลับรถแล้วให้ชิดซ้าย เลี้ยวซ้ายซอยแรกที่พบ เดินทางไป ๕๐๐ เมตร เลี้ยวขวาไป ๑๙๐ เมตร เลี้ยวซ้าย เข้าไปสุดทาง จะพบวัดเจดีย์ทอง 

วิหารแบบจีน (ริมน้ำ)
บรรยากาศริมน้ำ วัดเจดีย์ทอง
หลังจาก อิ่มใจในการทำบุญ ก็เดินทางสู่เป้าหมายต่อไป ครับ  สำหรับวัดในละแวกเดี๋ยวกัน ที่ ผู้คน นิยมมาสักการะ กัน ก็มีวัดโบสถ์  อ.สามโคก ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง ๔ กิโลเมตร โดยออกจากวัดเจดีย์ทอง เลี้ยวขวา เดินทางไปตามเส้นทาง ก็จะพบวัดโบสถ์ อยู่ทางขวามือ ครับ

ขอบคุณ ครับ 😄



สำหรับผู้ที่สนใจหาที่พัก ใน จังหวัดปทุมธานี สามารถ กดลิงค์ ที่นี่ ได้  หรือ กดลิงค์นี่ ครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น